8 สิ่งที่ควรเลี่ยงหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์เป๊ะอยู่นานกว่าเดิม

ปัจจุบันการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มความงามบนใบหน้าถือเป็นอีกหนึ่งวิธีเสริมความงามอย่างเป็นธรรมชาติที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลก เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติอีกทั้งยังไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น แตกต่างจากการทำศัลยกรรมที่จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน นอกจากนี้การฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ยังเป็นการเติมเต็มความงามในลักษณะที่ออกแบบเฉพาะบุคคลจึงทำให้ดูแตกต่างแต่งดงามในสไตล์แต่ละบุคคล ด้วยเหตุผลเหล่านี้เองการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์จึงได้รับการยอมรับและเลือกใช้กันแพร่หลายทั่วโลก

แต่เมื่อต้องการที่จะเลือกฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์แล้วนั้น นอกเหนือไปจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่น่าเชื่อถือและได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), การเลือกไปคลินิกที่น่าเชื่อถือและปรึกษากับแพทย์ผู้ฉีดที่มีประสบการณ์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้ฉีดควรเข้าใจคือว่า การดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์นั้นจะต้องทำอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวสำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหลังฉีดและคงความงามเช่นนั้นเป็นระยะเวลาที่นานกว่าที่ควรเป็น และนี่คือ 8 วิธีที่ควรทำหลังจากฉีดฟิลเลอร์

  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า : แม้ว่าการแต่งหน้าจะส่งผลได้น้อยมากต่อการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ระมัดระวังในการแต่งหน้าหลังฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากการมีแผลเปิดเล็กน้อยในบริเวณที่เข็มเจาะผิวหนัง อาจมีความเสี่ยงที่จากผลิตภัณฑ์ที่อาจปนเปื้อนแบคทีเรียโดยไม่รู้ตัวได้ ดังนั้น ควรงดการแต่งหน้าในบริเวณที่ทำการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์อย่างน้อยในช่วง 24 ชั่วโมงแรกเพื่อให้เวลาผิวของคุณฟื้นตัว
  • หลีกเลี่ยงการใช้หินกัวซาและลูกกลิ้งหยก : การกลิ้งหินขัดลงบนใบหน้าของคุณระหว่างการใช้สกินแคร์ หลังจากฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ เนื่องจากสารไฮยารูรอนิคแอซิดซึ่งเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนตัวได้ หากต้องการใช้หินกัวซาและลูกกลิ้งหยกในบริเวณใบหน้า ควรเวลารอสัก 1-2 สัปดาห์หลังฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการบวม ช้ำ หรือการเคลื่อนตัวของผลิตภัณฑ์ทำให้ไม่ได้รูปเหมือนตอนที่ฉีด
  • หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์บนใบหน้า : นอกจากการใช้หินกัวซาและลูกกลิ้งหยก แล้ว การนวดหน้าหรือทรีตเมนต์บนใบหน้าก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้รอยฟกช้ำรุนแรงขึ้น หรือ การที่ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รูปทรงตามที่ทำไว้ เนื่องจากแรงกดจากการทรีทเม้นต์ในบริเวณที่ทำการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ทำให้เกิดการผิดรูปหรือบวมช้ำได้
  • หลีกเลี่ยงงานทันตกรรม : ขั้นตอนทางทันตกรรมหลายอย่างนั้นมีจะต้องอาศัยการดึงหรือหดริมฝีปากและแก้มเพื่อให้เข้าถึงบริเวณที่ทำการรักษาในช่องปาก ซึ่งอาจส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ฉีดเอาไว้ นอกจากนี้หากคุณมีการรักษาทันตกรรมที่ต้องมีการฉีดยาชาเข้าร่วมด้วยอาจะมีความเสี่ยงที่แบคทีเรียเข้าสู่บริเวณที่เป็นรูเจาะผ่านเนื้อเยื่อในปากจนเกิดการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ ควรเลื่อนการนัดหมายทางทันตกรรมออกไปอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่และอาจแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบถึงการทำฟิลเลอร์ของคุณ เพื่อให้ทางทันตแพทย์จะได้ระมัดระวังมากที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก : เมื่อร่างกายออกกำลังกายจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกไม่สบายตัวและเสี่ยงต่อการช้ำ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงหลังการรักษา และงดการสวมอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่นแว่นตาว่ายน้ำ หรือที่คาดหัวที่อาจกดทับบนใบหน้าในบริเวณที่ฉีดด้วยเช่นกัน
  • หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมบางชนิด : ยาบางประเภทสามารถกระตุ้นให้เลือดออก เช่น ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS อย่าง Ibruprofen, Naproxen จะส่งผลต่ออาการฟกช้ำหลังการฉีดผิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ และวิตามินอีอาจจะส่งผลให้เลือดหยุดไหลยาก และก่อให้เกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคุณสมบัติในการทำให้เลือดบางลง เช่น น้ำมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 และชาเขียวในปริมาณสูง
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ : การดื่มเหล้า เบียร์ หรือไวน์จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตเกล็ดเลือดและทำให้เกล็ดเลือดของมีความเหนียวน้อยลง ซึ่งหมายความว่าจะส่งผลเสียต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้ผิวช้ำได้ง่ายกว่าที่ควรเป็น
  • หมั่นประคบเย็น : ในช่วง 1-2 วันแรก บริเวณที่ทำการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์อาจมีลักษณะ สีแดง บวม หรือช้ำ แม้ว่าโดยทั่วไปจะหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมงแรก แต่แนะนำให้ประคบเย็นบริเวณที่ทำการฉีดผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์จะทำให้หลอดเลือดหดตัวและทำให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณที่ฉีดช้าลง ส่งผลให้โอกาสเกิดรอยช้ำจากการฉีดลดลง

https://www.byrdie.com/injectables-dos-and-donts-5221328

https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/lip-fillers-aftercare#10-tips